เมื่อพูดถึง “จังหวัดอิบะระกิ” อีกหนึ่งจังหวัดที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงซักเท่าไหร่ ทั้งๆที่อยู่ไม่ไกลจากโตเกียว สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้แบบสบายๆ จากผลสำรวจว่าจังหวัดไหนมีเสน่ห์น่าไปท่องเที่ยวมากที่สุดตั้งแต่ปี 2009-2015 “จังหวัดอิบะระกิ” มักจะติดอันดับอยู่ปลายๆแถวเสมอ ครั้งนี้ทางเที่ยวญี่ปุ่นดอทคอมจึงอยากจะเดินทางมาพิสูจน์กันว่า “จังหวัดอิบะระกิ” เป็นจังหวัดที่มีเสน่ห์ด้านการท่องเที่ยวน้อยที่สุดจริงไหม?
จังหวัดอิบะระกิ (Ibaraki) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภูมิภาคคันโต เมืองหลวงชื่อว่าเมืองมิโตะ (MITO) อยู่ห่างจากโตเกียวไปไม่ไกลมากเพียง 1 ชั่วโมงโดยรถไฟ การเดินทาง จากสถานี Tokyo ก็ไม่ยากสามารถโดยสารรถไฟ JR Limited Express Hitachi / Tokiwa ไปลงที่สถานี Mito ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที
ขอบคุณภาพจาก www.pref.ibaraki.jp
จากนั้นสามารถโดยสารรถบัสหรือเช่ารถขับด้วยตัวเองเพื่อไปท่องเที่ยวตามเมืองต่างๆ ที่นี่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์อย่างมาก สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่สุดหลายสถานที่ อีกทั้งเมืองทสึคุบะ (Tsukuba) จังหวัดอิบะระกิ ยังได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองแห่งวิทยาศาสตร์และการวิจัยอีกด้วย จะเห็นได้จากการเป็นที่ตั้งของศูนย์อากาศยานทางอวกาศ JAXA และมหาวิทยาลัยชื่อดังอีกมากมาย เรียกได้ว่าชื่อของจังหวัดอิบะระกิ เป็นที่รู้จักมากขึ้น จากทุ่งดอกสีฟ้าเนโมฟิลลาแห่งสวนฮิตาชิ ซีไซด์และงานเทศกาลดอกบ๊วยมิโตะแห่งไคราคุเอ็น ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวนที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น แต่ถ้าได้ค้นหาจริงๆแล้ว ที่จังหวัดนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ซ่อนตัวอยู่อีกหลายแห่ง ที่การท่องเที่ยวอิบารากิได้แนะนำไว้ จนต้องออกเดินทางตามรอยอีกครั้ง
ในทริปนี้ใช้เวลาท่องเที่ยวอยู่ในจังหวัดอิบะระกิเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน การเดินทางในครั้งนี้เป็นการเดินทางออกนอกเส้นทาง เพื่อไปค้นหามุมมองใหม่ๆของอิบะระกิ เรียกได้ว่าเป็นมุมที่ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้าถึงมาก ยังคงความน่าค้นหาและมีเสน่ห์ในแบบที่ยังไม่ถูกปรุงแต่งมาก เหมาะสำหรับคนชอบขับรถ ลัดเลาะไปตามเส้นทางต่างๆเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ
เริ่มต้นสถานที่แรกของวัน เราเดินทางไปกันที่ศาลเจ้าคะซะมะ อินาริ (Kasama Inari Shrine) ตั้งอยู่ในเมืองคะซะมะ (Kasama) มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 1,350 ปี
ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 651 โดยถือเป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมืองคะซะมะ มีเทพบูชาประจำศาลเจ้าคือ เทพอุคาโนะมิทามะ มีความเชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการเพิ่มและดูแลผลผลิตทางการเกษตรและยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ ในทุกๆวันที่ 10 พฤษภาคมจะมีเทศกาล Shinsenden Otauesai หรือเป็นเทศกาลที่ชาวบ้านจะรวมตัวกันดำนำ เต้นรำและร้องเพลงเพื่อขอพรจากเทพเจ้าให้ในปีนั้นๆมีผลผลิตทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์
ร้านค้าข้างทางระหว่างทางเดินเข้าสู่อาคารหลักของศาลเจ้า
ตามธรรมเนียมก่อนเข้าสู่ศาลเจ้า
ซุ้มประตูขนาดใหญ่ก่อนเดินเข้าสู่ตัวอาคารหลัก
อาคารหลักของศาลเจ้าคะซะมะ อินาริ
สัญลักษณ์ของศาลเจ้าอินาริ สุนัขจิ้งจอกคาบดาบ
ด้านในศาลเจ้ายังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะ
ภาพของซุ้มประตูเก่าแก่ที่มีอายุกว่าพันปี
ในช่วงเดือนพฤษภาคม ที่ศาลเจ้าแห่งนี้จะมีผู้คนเดินทางมาชมความงดงามของสวนดอกวิสทีเรียที่พร้อมใจกันเบ่งบานส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งบริเวณศาลเจ้า
ซุ้มดอกวิสทีเรียส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งศาลเจ้า
หลังจากเดินชมศาลเจ้ากันเป็นที่เรียบร้อย ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามกับศาลเจ้า เราสะดุดตากับร้านขายของฝากร้านหนึ่งหน้าร้านมีไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากกาตลอดเวลา เดินเข้าไปสำรวจพบว่าเป็นร้านขายขนมอร่อยเจ้าดัง
เจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวของจังหวัดอิบะระกิ แนะนำเราว่าขนมร้านนี้อร่อยมาก ลักษณะคล้ายกับมันจูเคลือบด้วยน้ำตาลแดงสีเข้มข้น กรอบนอกนุ่มใน ด้านในเป็นไส้มันม่วงและผลวอลนัทลูกโต ที่สำคัญอร่อยมากๆ ใครมีโอกาสมาเที่ยวที่นี่ ห้ามพลาดเด็ดขาด
ศาลเจ้าคะซะมะ อินาริ (Kasama Inari Shrine)
เวลาทำการ: 06.00 – ช่วงพระอาทิตย์ตกดิน
วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน
ค่าเข้าชม: ฟรี
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Tokyoโดยสารรถไฟ JR สายโจบัน ลงที่สถานี Tomobe ใช้เวลา 110 นาที จากนั้นโดยสารรถไฟ JR สายมิโตะ ลงที่สถานี Kasamaใช้เวลา7นาที จากนั้นเดินประมาณ 20 นาทีหรือนั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที
เว็บไซต์ (ภาษาไทย): Kasama Inari Jinja
ออกจากศาลเจ้าเราแวะทานร้านอุด้งชื่อดังของจังหวัดอิบะระกิ ที่ร้านทาราอิ อุด้ง โมมิจิยะ (Tarai Udon Momijiya)
บรรยากาศด้านนอกร้าน ร่มรื่นไปด้วยสวนญี่ปุ่น
ความพิเศษของอุด้งร้านนี้เป็นอุด้งเส้นสดที่เสริฟมาในถังไม้ไผ่ เซทที่เราเลือกทานในวันนี้ชื่อว่า Momijiya Set ราคา 1,380 เยน ประกอบด้วยอุ้งเส้นสดแบบร้อนทานคู่กับซุปและกุ้งเทมปุระตัวใหญ่และผักตามฤดูกาล เช่น มันหวานที่มีขนาดยาวกว่าหนึ่งไม้บรรทัด, กระเจี๊ยบ, สาหร่ายคอมบุและหัวไชเท้า ความพิเศษของเซทนี้พนักงานจะนำน้ำเต้าหู้สดมาตุ๋นไฟอ่อนๆจนสุกได้ที่ทานคู่กับอุด้ง ส่วนรสชาตินั้นไม่ต้องพูดถึงร้านต้นตำรับในตำนาน อร่อยมากที่สุด สำหรับใครที่อยากจะแวะไปลองชิมแนะนำให้โทรไปจองโต้ะกันก่อน
ร้านทาราอิ อุด้ง โมมิจิยะ (Tarai Udon Momijiya)
ที่อยู่: 1021 Arigacho, Mito, Ibaraki Prefecture
หมายเลขโทรศัพท์: +81 29-259-4826
เวลาทำการ: 11:00-21:00 น. (ปิดรับออเดอร์สุดท้าย 20:00 น.)
วันหยุด: ไม่มีวันหยุดที่แน่นอน
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Tokyoโดยสารรถไฟ JR สายโจบัน ลงที่สถานี Mito ใช้เวลา 75 นาที จากนั้นโดยสารรถไฟ JR สายมิโตะ ลงที่สถานี Uchiharaใช้เวลา 11นาที จากนั้นนั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที
เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น): https://www.facebook.com/taraiudonmomijiya/ , http://taraiudonmomijiya.favy.jp/
หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อย เราเดินทางไปท่องเที่ยวกันต่อที่สะพานแขวนริวจิน (Ryujin Big Suspension Bridge) ตั้งอยู่ที่เมืองฮิตะจิโอตะ (Hitachiota) ภายในวนอุทยานโอคุคุจิ
สะพานแขวนแห่งนี้มีความยาวทั้งหมด 375 เมตร เป็นสะพานแขวนสำหรับเฉพาะให้คนเดินข้ามที่ยาวที่สุดเป็นอันดับ 2 ของเกาะฮอนชูของญี่ปุ่น สร้างขึ้นเหนือเขื่อนริวจิน
โดยมีแม่น้ำจากเขื่อนไหลผ่านหุบเขาเป็นรูปตัววีที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก ซึ่งจากสะพานแขวนแห่งนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพแบบพาโนรามาอันสวยงามได้ตลอดทั้ง 4 ฤดูกาล
แวะซื้อตั๋วค่าเดินข้ามสะพานกันก่อน
ในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม จะมีการประดับประดาด้วยธงรูปปลาคาร์ฟขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งวันเด็กผู้ชายนั่นเอง
ทัศนียภาพด้านล่างระหว่างเดินอยู่บนสะพาน สำหรับใครที่ชอบความหวาดเสียวที่นี่ก็มีบันจี้จัมพ์ให้กระโดดวัดใจลงไปจากสะพานได้ด้วย
ด้านล่างของสะพานแขวนริวจิน ยังเป็นที่ตั้งของเขื่อนริวจินขนาดใหญ่
แท่งปูนขนาดใหญ่เป็นรูปมังกรใช้สำหรับขึงลวดเคเบิลสะพาน
นอกจากนั้นที่นี่ยังมีร้านขายของฝากและของที่ระลึกชื่อดังมากมายของจังหวัดอิบะระกิ
สะพานแขวนริวจิน (Ryujin Big Suspension Bridge)
เวลาทำการ: 08.30-17.00 น.
วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 310 เยน เด็ก 210 เยน
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Tokyoโดยสารรถไฟ JR สายโจบัน ลงที่สถานี Mito ใช้เวลา 75 นาที จากนั้นโดยสารรถไฟ JR สาย Suigun ลงที่สถานี Hitachi-ota ใช้เวลา 37 นาที จากนั้นโดยสารรถบัสประจำทาง Ibaraki Kotsu Bus (คันที่วิ่งไปยัง Shimo-Takakura หรือShimo-Takakura Daigo) ใช้เวลา 45 นาที ราคา 500 เยน ลงที่สะพานแขวนริวจินหรือด้านหน้าทางเข้าสะพานแขวนริวจิน
เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น): http://ohtsuribashi.ryujinkyo.jp/
(ภาษาไทย): http://thai.ibarakiguide.jp/db-kanko/ryujin_bridge.html
ในการเดินทางนั้น สิ่งจำเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับชีวิตผู้คนในยุคปัจจุบันก็คือ สมาร์ทโฟนที่ต้องใช้ในการติดต่องาน อัพเดทข่าวสารข้อมูลการเดินทาง อีกทั้งยังใช้งานการอัพเดทโซเชียลเนตเวิร์คต่างๆ พ็อคเกตไวไฟจึงเป็นตัวเลือกที่สะดวกอย่างมาก พ็อคเกตไวไฟของ “Giant-Wifi” โดยบริษัท Japan All Pass ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้
ด้วยความที่เป็นแบรนด์ญี่ปุ่นที่ไว้วางใจได้ เชื่อมต่อด้วย สัญญาณคุณภาพจากค่าย Soft Bank ความเร็ว Speed 4G พร้อมการดาวน์โหลดข้อมูลได้สูงสุดถึง 185 Mb และ Upload 35 Mb แบบ Unlimited ตัวจริง ของจริง ที่สำคัญไม่ลด Speed ใช้ได้ไม่จำกัดตลอดระยะเวลาการใช้งาน โดยสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้สูงสุด 10 เครื่อง พร้อมการใช้งานต่อเนื่องสูงสุดถึง 10 ชั่วโมง มั่นใจได้การบริการการสื่อสารคุณภาพสูงสุดซึ่งใช้สายเชื่อมต่อท้องถิ่นด้วยสำหรับนักเดินทางอย่างเราที่ต้องการการอัพเดทข้อมูลตลอดเวลา
ทริปนี้ได้ตัวช่วยในการอัพเดทตลอดทั้งทริปอย่างไม่มีสะดุดด้วยพ็อกเก็ตไวไฟจาก “Giant-Wifi” ที่ไม่ว่าจะเดินทางไกลขึ้นเขาลงห้วยแค่ไหน สัญญาณก็แรงดีไม่มีตก รับประกันคุณภาพครับ และตอนนี้กำลังมี โปรโมชั่นสำหรับช่วงซัมเมอร์ ราคาพิเศษจำนวนจำกัด เพียงวันละ 99 บาทจากราคาปกติวันละ 280 บาท ** โปรโมชั่นนี้สำหรับลูกค้าที่สั่งจองเครื่องตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม – 30 มิถุนายนและเดินทางตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม – 31 ธันวาคม 2560 เท่านั้น**
จองได้ที่นี่ >> GIANT-WIFI
เดินทางไปท่องเที่ยวกันต่อที่น้ำตกฟุคุโระดะ (Fukuroda Waterfalls) ตั้งอยู่ใน ต.ไดโกะ น้ำตกแห่งนี้เป็นหนึ่งในสามของน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศญี่ปุ่น
บรรยากาศระหว่างทางเดินขึ้นไปที่น้ำตก จะสังเกตได้ว่าธรรมชาติของที่นี่ยังคงอยู่อย่างครบถ้วนจริงๆ
เดินขึ้นมาเรื่อยๆถึงบริเวณจุดจำหน่ายตั๋วเข้าชมน้ำตก
ซื้อตั๋วเสร็จก็เดินขึ้นไปยังชั้นบนของน้ำตกโดยลอดไปตามอุโมงค์คอนกรีต
บรรยากาศด้านในอุโมงค์ แอบคิดในใจว่าการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นนั้นช่างอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวจริงๆ
จากนั้นเราขึ้นลิฟท์เพื่อไปยังชั้นบนสุดของน้ำตก
ภาพของน้ำตกเบื้องหน้าที่ได้รับการขนานนามถึงความสวยงามเนื่องมาจากธารน้ำตกจะไหลผ่านหน้าผาหินยักษ์ที่มีความสูง 120 เมตรและขนาดของความกว้างถึง 73 เมตร ซึ่งเป็นชั้นหินไล่ระดับลงมา 4 ชั้น จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า “น้ำตก 4 ชั้น” จุดชมวิวที่ถูกออกแบบให้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทัศนียภาพของน้ำตกอย่างใกล้ชิด
อีกทั้งยังเพลิดเพลินกับภาพความสวยงามเบื้องหน้าได้ในทุกฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่ธารน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งคล้ายกับถูกหยุดเวลาไว้ซึ่งก็ให้ความรู้สึกสวยงามไปอีกแบบ
นักท่องเที่ยวยังสามารถข้ามสะพานแขวนไปชมความงามของน้ำตกได้จากอีกมุมหนึ่ง
ปฎิมากรรมแห่งความรักของ Yumi Katsura
ระหว่างเดินกลับไปที่รถ เราพบกับไร่ชาขั้นบันได
น้ำตกฟุคุโระดะ (Fukuroda Waterfalls)
เวลาทำการ: 08.00-18.00 น. (ช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม)
09.00-17.00 น. (ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน)
วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 150 เยน
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Tokyoโดยสารรถไฟ JR สายโจบัน ลงที่สถานี Mito ใช้เวลา 75 นาที จากนั้นโดยสารรถไฟ JR สาย Suigun ลงที่สถานี Fukuroda ใช้เวลา 70 นาที จากนั้นโดยสารรถบัสประจำทาง Ibaraki Kotsu Bus (คันที่วิ่งจากสถานี Fukuroda- Takimoto) ใช้เวลา 10 นาที ราคา 210 เยน ลงที่หน้าทางเข้าน้ำตกฟุคุโระดะ หรือสามารถนั่งรถแท็กซี่ใช้เวลาประมาณ 5 นาที
เว็บไซต์ (ภาษาไทย): http://thai.ibarakiguide.jp/db-kanko/fukuroda_falls.html
หลังจากนั้นเดินทางเข้าพักที่โรงแรม President Hotel MITO
อ่านรีวิวได้ที่นี่ >> รีวิวที่พัก : Ibaraki ~ President Hotel MITO ติดกับสถานีรถไฟ JR Mito
เริ่มต้นการเดินทางวันที่ 2 วันนี้เราจะไปทดสอบความแข็งแกร่งของพลังขากับการเดินเทร็คกิ้งขนาดย่อมๆกันที่ภูเขาทสึคุบะ (Mount Tsukuba) ตั้งอยู่ในเมืองทสึคุบะ (Tsukuba)
จุดจำหน่ายตั๋วขึ้นกระเช้าไฟฟ้า
ภูเขาแห่งนี้ได้รับการขนานนามเปรียบเปรยว่าเป็นฟูจิซังแห่งตะวันออก มีความสูงถึง 877 เมตร ภูเขาทสึคุบะยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้นานาพันธุ์มากกว่า 1,000 ชนิด ด้านบนสุดของภูเขาแห่งนี้มียอดเขาสองลูกมีชื่อว่าเนียวไตซัง (Nyotai-San) ซึ่งเป็นภูเขาผู้หญิงและอีกลูกหนึ่งชื่อว่านันไตซัง (Nantai-San) ซึ่งเป็นภูเขาเพศชาย นักท่องเที่ยวจะเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพทางธรรมชาติที่สวยงาม โดยขาไปเราโดยสารโรปเวย์แล้วโดยสารรถราง (เคเบิลคาร์) กลับลงมาอีกฝั่งหนึ่งทางด้านศาลเจ้าทสึคุบะ (Tsukuba Shrine) อีกทั้งในช่วงฤดูร้อนนักท่องเที่ยวยังสามารถเข้าร่วมกิจกรรมคอร์สปีนเขาได้อีกด้วย
บรรยากาศรอบๆตัวมองเห็นได้ 360 องศาภายในกระเช้าไฟฟ้า
บรรยากาศภายในกระเช้าไฟฟ้า
ทิวทัศน์ของภูเขาทสึคุบะระหว่างทางบนกระเช้าไฟฟ้า
หลังจากลงจากกระเช้าไฟฟ้า เราก็จะทำการเดินเทร็กกิ้งย่อมๆเป็นระยะเวลาประมาณ 20 นาที ไปที่ยอดเขานันไตเพื่อโดยสารรถรางกลับลงไปที่ด้านล่าง
ทางเดินเป็นพื้นที่ราบสลับกับแนวภูเขา ดั้งนั้นก่อนมาเดินควรสวมรองเท้าที่แข็งแรงซักนิดไม่อย่างนั้นรองเท้าอาจจะพังได้
ศาลเจ้าขนาดย่อมๆระหว่างทาง
และแล้วเราก็เดินทางกันมาถึงจุดสูงสุดของยอดเขานันไต จากนั้นเราจะนั่งรถรางลงไปที่ศาลเจ้าทสึคุบะ (Tsukuba Shrine)
หน้าตาของรถรางสีเขียวสดใส
บรรยากาศระหว่างทางลง เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกอาซาเลียที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง
ธรรมชาติของที่นี่ยังคงความสมบูรณ์อย่างมาก
เดินลงมาจนถึงเสาโทริอิ แสดงถึงเขตของศาลเจ้าแล้ว
บรรดานักท่องเที่ยวและนักเดินเขาต่างมาสักการะศาลเจ้าทสึคุบะกันมากมาย
ประตูทางเข้าเก่าแก่ของศาลเจ้าทสึคุบะ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 3,000 ปี
ภูเขาทสึคุบะ (Mount Tsukuba) – Rope Way & Cable Car
เวลาทำการ:
Rope Way:
วันจันทร์ – ศุกร์ เที่ยวแรกเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.20 น. (เช็คเวลาตามตาราง)
วันเสาร์ – อาทิตย์และวันหยุดราชการเวลา 09.00 – 17.40 น. (เช็คเวลาตามตาราง)
Cable Car:
วันจันทร์ – ศุกร์ เที่ยวแรกเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.00 น. (เช็คเวลาตามตาราง)
วันเสาร์ – อาทิตย์และวันหยุดราชการเวลา 09.20 – 17.20 น. (เช็คเวลาตามตาราง)
วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน (ยกเว้นในช่วงที่สภาพอากาศเลวร้ายและวันปิดซ่อมบำรุง 1 วันตามประกาศ)
ค่าใช้จ่าย:
Rope Way:
ไปกลับ – ผู้ใหญ่ 1100 เยน เด็ก 550 เยน / เที่ยวเดียว – ผู้ใหญ่ 620 เยน เด็ก 310 เยน
Cable Car:
ไปกลับ – ผู้ใหญ่ 1050 เยน เด็ก 530 เยน / เที่ยวเดียว – ผู้ใหญ่ 580 เยน เด็ก 290 เยน
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Akihabara โดยสารรถไฟ Tsukuba Express ลงที่สถานี Tsukuba จากนั้นโดยสารรถบัส Tsukubasan ลงที่ป้าย Tsusujioga ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ราคา 870 เยน
เว็บไซต์ (ภาษาอังกฤษ): http://www.ttca.jp/ , http://www.mt-tsukuba.com/
(ภาษาไทย) http://thai.ibarakiguide.jp/db-kanko/mt_tsukuba.html
พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์อุชิคุ ไดบุทสึ (Ushiku Daibutsu) ตั้งอยู่ที่เมืองอุชิคุ (Ushiku) พระพุทธรูปอุชิคุไดบุทสึองค์นี้ได้รับการบันทึกสถิติโลกจากกินเนสส์บุคว่าเป็นพระพุทธรูปปางยืนทองสัมฤทธิ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความสูงถึง 120 เมตรและมีน้ำหนักรวมทั้งสิ้น 4,000 ตัน
ภายในองค์พระพุทธรูปแบ่งออกเป็น 5 ชั้น แต่ละชั้นแบ่งเป็นส่วนจัดแสดงประวัติความเป็นมาในการสร้าง ห้องทำวัตรของพระสงฆ์ เมื่อขึ้นลิฟต์โดยสารไปยังจุดชมวิวบริเวณพระอุระที่มีความสูง 85 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทัศนียภาพได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ในวันที่อากาศดีจะสามารถมองไปได้ไกลถึงภูเขาไฟฟูจิโตเกียวสกายทรี บริเวณพระบาทของพระพุทธรูปจะมีสวนกว้างใหญ่ โดยมีดินแดนสุขาวดีเป็นต้นแบบ ซึ่งจะมีการปลูกดอกไม้สีสันสดใสหมุนเวียนกันไปตามแต่ละฤดูกาล ไม่ไกลกันมากยังเป็นที่ตั้งของสวนสัตว์ขนาดเล็กที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสพร้อมให้อาหารรวมถึงการแสดงโชว์ของลิงแสนรู้ได้อีกด้วย
ป้ายแสดงข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าชมอุทยาน
พระพุทธรูปอุชิคุไดบุทสึองค์นี้ได้รับการบันทึกสถิติโลกจากกินเนสส์บุคว่าเป็นพระพุทธรูปปางยืนทองสัมฤทธิ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความสูงถึง 120 เมตร
นักท่องเที่ยวสามารถซื้อแผ่นไม้สำหรับเขียนคำอฐิษฐานเพื่อขอพรจากองค์พระอุชิคุ ไดบุทสึ
ช่วงเดือนเมษายนสวนแห่งนี้จะเต็มไปด้วยดอกชิบะซากุระที่พร้อมใจกันออกดอกเป็นสีชมพูบานสะพรั่งพร้อมกับต้นซากุระ
เมื่อเข้ามาด้านในขององค์พระพุทธรูป จะมีการดับไฟให้ทำสมาธิเป็นเวลา 1 นาที โดยเจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายเกี่ยวกับกุศโลบายของปัญหา เปรียบเทียบปัญหาได้กับความมืด แต่ถ้าเรามีสติและปัญญาก็จะมาสามารถแก้ปัญหาได้จนลุล่วง เปรียบเสมือนแสงสว่างขององค์พระพุทธนั่นเอง เมื่อเปิดไฟขึ้นจะพบว่าบริเวณตรงกลางขององค์พระจะเป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปองค์ประธาน
เมื่อขึ้นไปที่ชั้น 2 จะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา การสร้าง และชิ้นส่วนของนิ้วเท้าที่จำลองแบบมาให้ชมกันอย่างใกล้ชิด เมื่อขึ้นลิฟต์โดยสารไปยังจุดชมวิวบริเวณพระอุระที่มีความสูง 85 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทัศนียภาพได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ในวันที่อากาศดีจะสามารถมองไปได้ไกลถึงภูเขาไฟฟูจิและโตเกียวสกายทรีเลยทีเดียว
ชั้นที่ 3 ของภายในองค์พระพุทธ เป็นที่ตั้งของห้องทำพิธี ทุกๆเช้าจะมีพระสงฆ์มาทำพิธีสวดมนต์เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับอัฐิของผู้ล่วงลับที่นำมาเก็บไว้ อุทิศส่วนกุศลโดยการเขียนชื่อผู้ตายลงไปในสมุด (สมุดที่ใช้บันทึกรายชื่อของผู้ตาย) แล้วนำไปใส่ในพระพุทธรูป โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อทางวัดเพื่อสามารถนำอัฐิของคนที่รักมาเก็บไว้ที่นี่ได้ ในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปีจะมีการทำพิธีใหญ่ เรียกว่า “พิธีเอไทเคียวโฮโย” เพื่อทำบุญและระลึกถึงความดีงามของผู้เสียชีวิต
จากนั้นเดินลงมาบริเวณชั้น 2 จะเป็นที่ตั้งของห้องสำหรับทำสมาธิ ด้วยการคัดลอกพระไตรปิฎกจากแผ่นกระดาษไข ซึ่งผู้ที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็สามารถเข้าร่วได้เนื่องจากเป็นการคัดลอกตัวอักษรจากกระดาษไขนั่นเอง
หน้าตาของกระดาษไขที่ใช้สำหรับคัดลอกพระไตรปิฎก
อีกหนึ่งความอเมซิ่งที่เราไม่คิดว่าจะพบเห็นที่อื่นนอกจากประเทศไทย คือการปิดทองด้านนอกองค์พระพุทธ ซึ่งเจ้าหน้าที่อธิบายกับเราว่าเริ่มต้นจากนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่นี่จึงมีแผ่นทองไว้คอยให้บริการราคาแผ่นละ 300 เยนอีกด้วย
นอกจาการเดินทางมาสักการะองค์พระพุทธอุชิคุ ไดบุทสึแล้วที่นี่ก็ยังมีสวนสัตว์ขนาดย่อมๆไว้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้ปกครองที่มีเด็กๆมาด้วย สามารถมาให้อาหารสัตว์น่ารักๆ พร้อมชมการแสดงโชว์ลิงแสนรู้ได้อีกด้วย
กระต่ายน่ารักๆแถมยังเชื่องอีกด้วยวิ่งกรูกันเข้ามาขออาหารจากนักท่องเที่ยวกันอย่างคุ้นเคย
ชมการแสดงโชว์ลิงแสนรู้ที่สามารถเรียกเสียงหัวเราะได้จากผู้เข้าชมมากมาย
พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์อุชิคุ ไดบุทสึ (Ushiku Daibutsu)
เวลาทำการ:
ช่วงเดือนมีนาคม – กันยายน
วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.30 – 17.00 น. / วันเสาร์ – อาทิตย์และวันหยุดราชการ เวลา 09.30 – 17.30 น.
ช่วงเดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์
วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.30 – 16.30 น. / วันเสาร์ – อาทิตย์และวันหยุดราชการ เวลา 09.30 – 16.30 น.
ติดต่อเค้าท์เตอร์ก่อนสวนปิด 30 นาที
วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 800 เยน เด็ก 400 เยน
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Ueno โดยสารรถไฟ JR สายโจบัน ลงที่สถานี Ushiku ใช้เวลา 55 นาที จากนั้นโดยสารรถบัสประจำทางตรงบริเวณฮิกาชิกุจิ (ประตูทิศวันตะวันออก) จุดขึ้นรถบัสหมายเลข 2 ที่วิ่งตรงไป Ushiku-daibutsu / Ushiku-joen หรือรถบัสประจำทางที่วิ่งไปยัง Ami Premium Outlets ลงที่ป้ายรถประจำทาง Ushiku-daibutsu ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ราคา 680 เยน
เว็บไซต์ (ภาษาไทย): http://thai.ibarakiguide.jp/db-kanko/ushiku_daibutsu.html
สถานที่สุดท้ายที่เราจะพาไปชมกันในทริปนี้ เดินทางไปชมความงามของดอกโบตั๋นที่ สวน Peony Garden Tokyo in Tsukuba ของ DR. Hiroichi Seki ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการวิจัยพันธุ์พืช สวนดอกโบตั๋นแห่งนี้เริ่มต้นเปิดให้เข้าชมในปี ค.ศ. 1989 โดยที่นี่ถือว่าเป็นสวนดอกโบตั๋นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ความพิเศษของที่นี่คือเป็นการเพาะพันธุ์ดอกไม้แบบออร์แกนนิกโดยปราศจากการใช้ยาฆ่าแมลง 100% ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิดอกโบตั๋นมากกว่า 500 สายพันธุ์ของที่สวนแห่งนี้จะแข่งกันเบ่งบานอวดความสวยงามมากกว่า 20,000 ต้น นอกจากจะชมความสวยงามของพันธุ์ไม้ต่างๆ ภายในยังมีร้านชาดอกโบตั๋นไว้คอยให้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย เชื่อกันว่าส่วนของรากต้นโบตั๋นยังมีสรรพคุณด้านการแพทย์ช่วยในเลือดหมุนเวียนในร่างกายได้ดีขึ้น บำรุงหลอดเลือด หัวใจอีกทั้งยังช่วยบำรุงตับอีกด้วย
แผนผังของสวน Peony Garden Tokyo in Tsukuba
บรรยากาศของดอกโบตั๋นสายพันธุ์ต่างๆ
ร้านชาดอกโบตั๋นไว้คอยให้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย เชื่อกันว่าส่วนของรากต้นโบตั๋นยังมีสรรพคุณด้านการแพทย์ช่วยในเลือดหมุนเวียนในร่างกายได้ดีขึ้น บำรุงหลอดเลือด หัวใจอีกทั้งยังช่วยบำรุงตับอีกด้วย
ชาดอกโบตั๋น กลิ่นหอมและมีรสชาติดีมากๆ
นอกจากดอกไม้ที่นี่ก็ยังมีการทดลองปลูกพืชชนิดอื่นๆ เช่นมะเขือเทศออแกนิคกล่องนี้ที่เราลองซื้อมาชิม รสชาติหวานกรอบอร่อยมากๆ
สวนดอกโบตั๋น Peony Garden Tokyo in Tsukuba
เวลาทำการ: 09.00-17.00 น.
วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 1000เยน เด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี เข้าฟรี
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Ueno โดยสารรถไฟ JR สายโจบัน ลงที่สถานี Ushiku ใช้เวลา 55 นาที จากนั้นโดยสารรถบัสประจำทางที่วิ่งไปสถานี Midorino ใช้เวลา 20 นาที ราคา 340 เยน จากนั้นลงที่ป้ายรถบัสคุคิซาคิวาคะคุริ (Kukizakiwakaguri Bus Station) จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที
เว็บไซต์ (ภาษาอังกฤษ): https://www.peonygardentokyo.com/